ทำไมตัวอักษรบนคีย์บอร์ดถึงเรียงแบบสับสนเช่นนี้?
1. ประวัติความเป็นมาของคีย์บอร์ด
การออกแบบคีย์บอร์ดมีต้นกำเนิดมาจากเครื่องพิมพ์ดีด และเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นแรกส่วนใหญ่ (เช่น เครื่องพิมพ์ดีด Sholes และ Glidden ในศตวรรษที่ 19) ใช้คันโยกกลไกแบบกลศาสตร์ หากกดคีย์ที่อยู่ติดกันอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง คันโยกของคีย์บอร์ดจะเกิดการติดขัดกันจนทำให้เครื่องพิมพ์ดีดใช้งานไม่ได้
เพื่อแก้ปัญหานี้ คริสโตเฟอร์ โชลส์ (Christopher Sholes) ผู้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดได้จัดวางตัวอักษรที่ใช้บ่อย (เช่น E, T, A) ให้กระจายตัวออกไปบนคีย์บอร์ด เพื่อลดความเร็วในการพิมพ์และป้องกันการติดขัด โดยตัวอย่างเช่น คู่อักษรภาษาอังกฤษที่พบบ่อยอย่าง "TH" หรือ "ST" จะถูกแยกไว้คนละตำแหน่ง เพื่อลดการกดติดต่อกัน ในขณะเดียวกัน ตัวอักษรที่ใช้บ่อยจะถูกจัดวางไว้ที่มุมและด้านซ้ายของคีย์บอร์ด เพื่อเพิ่มความยากในการใช้งาน ทำให้ความเร็วในการกดช้าลงอย่างเหมาะสม และลดจำนวนการกดติดต่อกัน นี่คือที่มาของคีย์บอร์ด "QWERTY" ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
2. นิสัยการใช้งานแบบเดิม
แม้ว่าจะมีการจัดวางคีย์บอร์ดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในภายหลัง (เช่น คีย์บอร์ดแบบ Dvorak ซึ่งจัดกลุ่มตัวอักษรที่ใช้บ่อยไว้บนแถงคีย์หลัก) แต่รูปแบบ QWERTY ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจนยากที่จะเปลี่ยนแปลง พนักงานพิมพ์ดีดในยุคแรกถูกฝึกให้ใช้คีย์บอร์ดแบบ QWERTY และบริษัทต่างๆ รวมถึงผู้ใช้งานก็ไม่เต็มใจที่จะลงทุนใหม่เพื่อฝึกฝนหรือเปลี่ยนไปใช้ระบบอื่น ทำให้รูปแบบ QWERTY ยังคงครองตลาดต่อมา
3. การทำให้เป็นสินค้าทางการค้าและการกำหนดมาตรฐาน
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 บริษัท Remington เป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดแบบ“QWERTY”ในจำนวนมาก ทำให้รูปแบบนี้เป็นที่นิยมผ่านการตลาดและการเปิดหลักสูตรพิมพ์ดีด คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ในยุคหลังได้รับรูปแบบนี้ต่อมา ยิ่งทำให้“QWERTY”กลายเป็นมาตรฐานระดับโลก
4. ทฤษฎีอื่น ๆ และข้อถกเถียง
มีผู้เสนอความคิดเห็นว่า QWERTY อาจถูกออกแบบให้พิมพ์คำเฉพาะได้ดีขึ้น (เช่น คำว่า “TYPEWRITER” สามารถพิมพ์ได้โดยใช้แค่แถงคีย์ด้านบนเท่านั้น) แต่หลักฐานที่ยืนยันยังคงมีน้อย อีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อมโยง QWERTY เข้ากับความต้องการของผู้ใช้เครื่องโทรเลข เนื่องจากรูปแบบคีย์บอร์ดอาจช่วยให้แปลงรหัสมอร์สได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
5. ทำไมรูปแบบคีย์บอร์ดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าจึงยังไม่สามารถแทนที่คีย์บอร์ด“QWERTY”ได้
ก่อนอื่นเลยคือ ต้องมีต้นทุนการเปลี่ยนผ่านสูง ผู้ใช้งานและอุตสาหกรรมหลายพันล้านรายต่างคุ้นเคยกับคีย์บอร์ดรูปแบบ QWERTY เป็นอย่างดี การเรียนรู้รูปแบบใหม่ขึ้นมาต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาล ประการที่สอง เนื่องจากเทคโนโลยีมีการอัปเดตและปรับปรุง ทำให้อุปกรณ์ในปัจจุบันไม่มีปัญหาข้อจำกัดด้านโครงสร้างเชิงกลอีกต่อไป โดยทั่วไป โปรแกรมการพิมพ์มักมีคุณสมบัติเช่น การแก้ไขข้อผิดพลาดโดยอัตโนมัติ และการพิมพ์คำทำนาย ซึ่งสามารถแก้ปัญหาประสิทธิภาพได้อย่างมีประสิทธิผล นอกเหนือจากนี้ รูปแบบคีย์บอร์ดอื่นๆ ก็ยากที่จะเผยแพร่ให้กว้างขวาง ตัวอย่างเช่น คีย์บอร์ดรูปแบบ Dvorak อ้างว่ามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 20% แต่ก็ถูกใช้งานเพียงในวงจำกัด
6. รูปแบบคีย์บอร์ดสำหรับภาษาอื่น
การป้อนข้อมูลแบบพินอินภาษาจีน: อาศัยรูปแบบคีย์บอร์ด "QWERTY" แต่ใช้วิธีการป้อนข้อมูลอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ภาษาฝรั่งเศส (AZERTY) และภาษาเยอรมัน (QWERTZ): รูปแบบที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับตัวอักษรและระดับความถี่เฉพาะของภาษา
7.สรุป
เลย์เอาต์คีย์บอร์ดบนอุปกรณ์ต่างๆ ยังมีความแตกต่างกันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น เลย์เอาต์คีย์บอร์ดบนแท็บเล็ตนั้นมีขนาดเล็กกว่า Magic Keyboard แม้จะอยู่ในพื้นที่จำกัด แต่ยังคงสามารถพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทำให้ใช้งานต่างๆ ได้ง่ายและสบายยิ่งขึ้น นี่คือผลลัพธ์จากการพัฒนาคีย์บอร์ดในยุคปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง
เลย์เอาต์คีย์บอร์ดแบบ "ยุ่งเหยิง" ที่เห็นจริงๆ แล้วเป็นปัญหาที่สืบทอดมาแต่อดีต มากกว่าจะเป็นผลลัพธ์จากการออกแบบเชิงวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน ปัญหานี้แสดงให้เห็นว่า การเลือกมาตรฐานทางเทคนิคนั้นมักได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากปัจจัยทางประวัติศาสตร์ ผลประโยชน์ทางการค้า และพฤติกรรมการใช้งานแบบเดิมของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้มีเลย์เอาต์หรือรูปร่างของคีย์บอร์ดที่พัฒนามาจากคีย์บอร์ดแบบ QWERTY มากยิ่งขึ้น และได้รับการยอมรับจากผู้ใช้มากขึ้น บางทีในอนาคต คีย์บอร์ดแบบ "ตัวอักษรยุ่งเหยิง" อาจไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ประสบการณ์การใช้งานคีย์บอร์ดของผู้คนจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน